ตามความเชื่อที่มีมายาวนานของชาวจีน จากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานกลายมาเป็น “ของมงคล” เพื่อปรับแก้และเสริมฮวงจุ้ยอาคาร บ้านเรือน หรือสถานที่ต่างๆ แอดกำลังหมายถึง “กิเลน” กับ “สิงห์” ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันสุดๆ ในตอนนี้ว่าเสริมได้จริงไหม แถมมีมาบอกเพิ่มอีก 2 ชนิดให้ได้ไปลองศึกษากัน
กิเลน กับ สิงห์ ช่วยเสริมดวง & ฮวงจุ้ยได้จริงหรือ?
กิเลน (Qi Lin หรือ Chi Lin) เรียกอีกอย่างว่าม้ามังกร เป็นสัตว์มงคลในตำนาน มีหัวเป็นมังกร ตัวเป็นม้า กีบเป็นกวาง และผิวเป็นเกล็ดปลา ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อกันว่า กิเลนสามารถดูดซับพลังงานได้ดี แบ่งแยกความดีและความชั่ว แถมยังซื่อสัตย์กับเจ้าของด้วย จึงได้นำมาเป็นของที่ช่วยคุ้มครองคนจากความชั่วร้าย และช่วยรักษาสุขภาพให้แข็งแรงได้
ส่วนใหญ่มักนำมาตั้งตามหน้าประตูวิหาร ศาลเจ้าหรือวัด อีกทั้งยังช่วยเสริมความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้กิเลนหลายตัวยังมีสมบัติอยู่ที่อุ้งเท้าและเหรียญอยู่ที่ปาก ซินแสด้านฮวงจุ้ยจึงได้แนะนำให้นำมาตั้งเพื่อช่วยเสริมความมั่งคั่งร่ำรวยมาสู่ผู้คนในบ้านได้อีกต่างหาก แต่มักจะแนะนำให้ใช้ กิเลนที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะถือได้ว่าเขาเสมือนสัตว์เลี้ยงที่ดูแลเจ้าของ
หลักการตั้ง : ตำแหน่งการวางกิเลนที่เหมาะสมคือ ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น หรือใกล้ประตูบ้าน โดยให้หันหน้าเข้าหาบริเวณที่มีคนอยู่เป็นประจำ และอย่าวางไว้ในห้องนอน ห้องครัว หรือห้องน้ำเด็ดขาด ดูดวง
สิงห์คู่ (Chinese Guardian Lions) เป็นสัตว์ผู้พิทักษ์ตามความเชื่อของชาวจีน ตั้งแต่โบราณ ว่ากันว่าผู้ที่มีอำนาจและเงินทองจะวางสิงห์คู่ประดับไว้หน้าประตูทางเข้า เพื่อช่วยปกปักษ์รักษาทรัพย์สิน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกวันนี้เราถึงเห็นสิงห์คู่เฉพาะในวัด สำนักงานของรัฐ และบ้านของตระกูลใหญ่เท่านั้น ลักษณะของสิงห์คู่ที่ดีควรมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพราะตัวผู้จะเหยียบโลกไว้ใต้อุ้งเท้าขวา เปรียบเสมือนการป้องกันบ้านและอาณาจักร ส่วนตัวเมียจะเหยียบลูกไว้ใต้อุ้งเท้าซ้าย เปรียบเสมือนการป้องกันจากสัญชาตญาณแม่
หลักการตั้ง : บริเวณที่เหมาะจะวางสิงห์คู่มากที่สุด คือ บริเวณหน้าประตู โดยให้ตัวเมียอยู่ทางซ้าย ตัวผู้อยู่ทางขวา (มองจากข้างนอกเข้าไปข้างใน) เพื่อให้สิงห์คู่ช่วยปกป้องและคุ้มครองคนในบ้านให้ปลอดภัย และเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจกับคนที่ผ่านเข้า-ออกบ้านนั่นเอง
สังเกตได้ว่า สัตว์ที่มีลักษณะความเชื่อของการเฝ้าสมบัติ หรือเสริมความมั่งคั่งนั้นต้องวางเป็นคู่ ความเชื่อจะคล้ายๆ ปี่เซียะเลยค่ะ มาดูกันต่ออีกสัก 2 สัตว์มงคลที่น่าสนใจ…
มังกร เป็นสัตว์ในตำนานอีก 1 ชนิดตามความเชื่อของชาวจีน ได้รับความนิยมมาก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสัตว์เทพทั้งสี่ (มังกรเขียว หงส์แดง เสือขาว และเต่าดำ) และเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิจีน พูดได้ว่า เป็น Signature ของประเทศจีนเลยก็ว่าได้ เชื่อกันว่าบ้านใครมีมังกรอยู่ จะช่วยเสริมเรื่องความมั่งคั่ง พลังอำนาจ และความโชคดีโชคลาภ เนื่องจากมังกรสื่อถึงคนที่ยิ่งใหญ่ มีบารมี มีอำนาจ ร่ำรวย และแข็งแกร่งนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังว่ากันว่า มังกรสามารถเสริมพลังชี่ให้กับตัวบ้านได้อีกด้วย
หลักการตั้ง : ตามหลักฮวงจุ้ย มังกรควรตั้งประดับไว้ทางทิศตะวันออกหรือด้านซ้ายของบ้าน (หากมองออกมาจากด้านใน) หรือบริเวณที่เป็นห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว และห้องทำงาน ห้ามวางไว้ในบริเวณที่มีพลังงานต่ำ เช่น ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว หรือโรงจอดรถเด็ดขาด และเนื่องจากมังกรเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำมาก ดังนั้นถ้าหากบ้านของใครมีแหล่งน้ำหรือรูปภาพน้ำ ก็สามารถวางมังกรให้หันหน้าเข้าหาน้ำได้ค่ะ
เซียมซู หรือ คางคกสามขาคาบเหรียญ อันนี้จะเป็นที่สับสนของหลายๆ คนว่า สรุปเอาไว้ทำอะไรตรงไหนกันแน่ เชียมซูเป็นสิ่งของมงคลศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเสริมเรื่องความมั่งคั่ง ร่ำรวย มีประวัติเล่ากันมาว่า เป็นสัตว์เลี้ยงข้างกายของ หลิวไห่ฉาน หรือ หลิวไห่ เซียนผู้ประทานเงินทองสุดโด่งดังแห่งลัทธิเต๋า ฉะนั้นผู้คนจึงเชื่อว่า ถ้าหากใครบูชาเซียมซูติดบ้านไว้ จะช่วยนำเงินทองและรายได้เข้ามาสู่ผู้คนในบ้าน
หลักการตั้ง : ควรวางประดับไว้บริเวณหน้าประตูบ้านหรือตรงข้ามประตูบ้านแบบทแยงมุม เพื่อช่วยดึงดูดโชคลาภจากภายนอกเข้ามาสู่ภายใน และควรตั้งให้หันหน้าเข้ามาข้างในบ้าน (บางตำราบอกว่าสามารถหันออกข้างนอกบ้านได้) อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการวางตรงข้ามกับประตูพอดีเป๊ะ เพราะจะทำให้พลังชี่หน้าบ้านแข็งแรงมากเกินไป รวมถึงห้ามวางบนพื้นเด็ดขาดด้วย
ทราบกันคร่าวๆ แบบนี้แล้ว ถ้าใครเชื่อในพลังงานฮวงจุ้ยและความขลังของสิ่งเหล่านี้ ก็ลองไปหากันมาวางตามตำแหน่งที่แอดหาข้อมูลมาให้ ไม่ต้องตัวใหญ่และแพงอลังการใดๆ เอาให้พอเหมาะกับตัวเราบ้านเรา เพราะทุกสิ่งอยู่ที่การกระทำ 70% ดวง 30% เช่น หากป่วยแล้วไม่ไปหาแพทย์ ไม่ทานยาก็ไม่หายง่ายๆ, มีปัญหาต้องแก้ มีกิจการต้องดูแล แม้เอาสิงห์เอากิเลนมาวางรอบบ้านสัก 10 คู่ก็ไม่ช่วยอะไรค่ะ ดังนั้น ตนยังคงเป็นที่พึ่งแห่งตนผนวกความเฮงจากของมงคลนั่นเอง